จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นและสภาพความผันผวนในต้นทุนการก่อสร้าง ทำให้ผู้ประกอบการด้านการพัฒนาที่ดินส่วนใหญ่เริ่มหันมาใช้ระบบพรีคาสท์หรือระบบก่อสร้างด้วยชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปมากขึ้น เนื่องจากแบบก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนหน่วยที่ต่อเนื่องกันในแต่ละหลังทำให้เหมาะกับระบบพรีคาสท์ สามารถดำเนินการก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว เช่นกรณีของทาวน์เฮ้าส์ สูง 2-3 ชั้น จำนวน 12 หน่วย สามารถดำเนินก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน และหากรวมงานตกแต่ง ทาสี ปูกระเบื้อง และอื่นๆ อีกประมาณ 1 เดือน ก็แล้วเสร็จรวมเวลาประมาณ 2 เดือน หากเปรียบเทียบกับการก่อสร้างด้วยระบบเดิม (ก่อสอิฐ ฉาบปูน) ที่จะต้องใช้เวลาประมาณ 6– 7 เดือน ซึ่งเวลาดังกล่าวระบบพรีคาสท์สามารถก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์ได้มากกว่า 100 หน่วย ยิ่งจะทำให้งานแล้วเสร็จโดยเร็ว ผู้ประกอบการหรือโครงการสามารถกำหนดการส่งมอบทาวน์เฮ้าให้กับลูกค้าได้อย่างแน่นอนตรงเวลา อีกทั้งยังสามารถกำหนดเวลาการปิดการขายปละปิดโครงการได้อย่างแน่นอนอีกด้วย
เมื่อพิจารณาในส่วนของ ต้นทุนการก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์ด้วยระบบพรีคาสท์เปรียบเทียบกับระบบการก่อสร้างระบบเสา คาน ก่ออิฐ ฉาบปูน แล้วพบว่า ต้นทุนด้านการก่อสร้างโดยรวมต่ำกว่าระบบเดิมระหว่างร้อยละ 10 – 25 เนื่องจากระบบโครงสร้างของทาวน์เฮ้านั่นเอง ทั้งนี้การกำหนดราคาขายจึงทำได้ง่ายเอาจจะมีความแตกต่างเพียงราคาต้นทุนจากราคาที่ดินแต่ละโครงการเท่านั้น สำหรับการกำหนดราคาขายหรือราคาโปรโมชั่นก็สามารทำได้ง่ายเนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าและระยะเวลาการส่งมอบบ้านให้ลูกค้าสั้นลง ผู้ประกอบการหรือโครงการสามารถกำหนดทำสัญญาและวันส่งมอบหรือโอนบ้านได้แน่นอนกว่า ทำให้ปัจจัยเสี่ยงด้านต่างๆ ลดลง โครงการสามารถกำหนดทิศทางหรือความเสี่ยง จากการดำเนินการโครงการได้แม่นยำขึ้น ยอดรับรู้รายได้ก็สามารถคาดการได้สั้นลง แม่นยำมากขึ้น และหากโครงการมีขนาดใหญ่ จำนวนหน่วยต่อโครงการมาก ก็สามารถบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น บุคลากรในการดำเนินการน้อยลง ส่วนโครงการขนาดเล็กมีจำนวนหน่วยไม่มากนัก ก็สามารถดำเนินการง่ายมากขึ้นสามารถดำเนินการแข่งขันด้านราคาและเจาะกลุ่มลูกค้าให้ตรงกับตลาดหรือความต้องการได้มากและเร็วขึ้น และที่สำคัญอีกประการหนึ่งนั่นคือความต้องการทาวน์เฮ้าส์มีมากขึ้นในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ดังนั้นหากการดำเนินการก่อสร้างที่รวดเร็ว พื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงกับบ้านเดี่ยว ราคาต่ำกว่า ที่ตั้งโครงการอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวกระดับหนึ่ง ลูกค้าจะติดสินใจง่าย เนื่องจากโดยส่วนใหญ่ลูกค้าจะเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์เป็นบ้านหลังแรกและในอนาคตก็มักจะขยับขยายเป็นบ้านเดี่ยว ส่วนทาสน์เฮ้าเดิมหากซื้อราคาไม่สูงนักก็จะทำให้ขายภายหลังได้ง่ายด้วย จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้ประกอบการด้านพัฒนาที่ดิน เลือกใช้ระบบการก่อสร้างแบบพรีคาสท์
ส่วนปัญหาด้านการตกแต่ง หรือต่อเติมของลูกค้าภายหลังการส่งมอบบ้านแล้วนั้นมีน้อยกว่าบ้านเดี่ยวมากเนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านข้าง ลูกค้ามักจะดำเนินการต่อเติมเพียงด้านหลังซึ่งส่วนใหญ่มักจะดำเนินการต่อเติมเป็นห้องครัวหรือซักล้าง ส่วนด้านหน้าบ้านก็มักจะต่อเติมในส่วนที่จอดรถ หลังคาโรงจอดรถ เป็นต้น ซึ่งการต่อเติมดังกล่าวมีผลกระทบกับระบบโครงสร้างน้อยมาก